การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งล่าสุดเราตั้งใจไปเยือนศูนย์ใหญ่FLATHEADเพื่อเก็บภาพมาเผื่อแฟนๆในประเทศไทยโดยเฉพาะ หลังจากที่ครั้งก่อนๆจะไปพบกับแบรนด์ที่จุดต่างๆได้มีโอกาสไปชมขั้นตอนการตัดเย็บยีนส์ของทางแบรนด์ซึ่งใครที่ยังไม่เคยเข้าไปชมสามารถเข้าได้ที่ลิ้งค์นี้เลยครับ >>> http://www.prontodenim.com/Blog/okayama-tour-the-flat-head/
ศูนย์ FLAT HEAD ใหญ่นั้นจะตั้งอยู่ที่เมืองNagano หลายๆคนสงสัยว่าปรกติแล้วแบรนด์ใหญ่ๆจะมีออฟฟิสอยู่เมืองหลวงต่างๆเช่นในโตเกียวหรือโอซาก้าแต่ทำไมFLATHEADถึงไม่มี
เมืองNaganoเป็นเมืองกำเนิดของคุณKobayashiซึ่งคือผู้ก่อตั้งแบรนด์ครับ เขารักเมืองนี้มากเขาจึงอยากจะให้คนที่จะร่วมทำงานกับเขาได้มีโอกาสมาสัมผัสบ้านเกิดที่เขารัก ซึ่งก็เป็นเมืองที่สวยและสะอาดบริสุทธิ์มาก
การเดินทางไม่ยากครับ ขึ้นรถShinkansenจากโตเกียวหรือShinagawaไป ใช้เวลาประมาณ90นาทีครับ ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นและชอบเดินทางเยอะๆดูเมืองต่างๆ มีJR Passใบเดียวสบายเลยครับ
ไปถึงคุณโฮริอุชิ ผู้ช่วยคุณโคบายาชิกับคุณอิสวาน คนดูแลลูกค้าต่างประเทศ(เมื่อก่อนคุณไคล์จะทำอยู่ตำแหน่งนี้แต่ย้ายกลับไปอยู่อเมริกาแล้วครับ)ก็มารอรับอยู่แล้วที่สถานีรถไฟ นั่งรถไปประมาณ20นาทีเราก็มาถึงออฟฟิสของทางแบรนด์ละครับ เมื่อก่อนนี้จุดนี้จะเป็นออฟฟิสของRJBอย่างเดียว และของFlatHeadจะอยู่ห่างออกไปประมาณ5นาที แต่เพราะการทำงานของทั้งสองแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกันมากขึ้น จำเป็นจะต้องสื่อสารกันให้สะดวก รวมถึงคลังสินค้าใหญ่ที่ใช้ร่วมกันก็อยู่ที่จุดนี้จึงได้รวมตัวกันครับ
มาถึงก็สัมผัสได้ถึงความเป็นคุณโคบายาชิ มีรถเต่าVWรุ่นเก่าๆสภาพกิ๊บๆอะไหล่เดิมครบๆจอดเรียงรายอยู่2-3คัน ผมคิดขึ้นมาในใจทันทีว่าท่าทางโรงจอดรถคงเต็มแน่ๆถึงต้องยอมให้ออกมาอยู่ตากแดดตากลมอย่างนี้
เข้าไปด้านในเราก็ได้ดูสินค้าคอลเล็คชั่นหน้าหนาวที่มีตัวแปลกๆมันส์ๆอยู่ไม่น้อย ลองกันสนุกอยู่สักพักทางทีมFlatHeadก็ได้ชวนเราไปทานอาหารกลางวันกันครับ
ร้านอาหารนี้ทางทีมบอกว่าเป็นสถานที่เก่าแก่มากๆ อยู่มา200-300ปีแล้ว การมุงหลังคาด้วยหญ้าแบบเดิมนี้ปัจจุบันไม่มีคนทำแล้ว เพราะหาช่างทำยาก ต้องคอยดูแลและมีการเปลี่ยนอยู่เสมอ ที่แห่งนี้นี้จึงเป็นจุดสนใจจุดนึง
ผมเป็นคนชอบอาหารเส้นๆอยู่แล้ว มื้อนี้จึงตรงเสป็คกับซารุโซบะครับ คำว่าซารุโซบะบางทีอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าแปลว่าเสริฟแบบเย็นหรือเปล่า เพราะทั้งซารุราเมน หรือซารุโซบะจะถูกเสริฟแบบเย็น แต่ความจริงแล้วมันแปลว่าไผ่ครับ จะเห็นว่าเวลาสั่งซารุเส้นจะมาในถาดที่รองด้วยไม้นั่นล่ะครับ ส่วนวาซาบิก็สดๆเลยครับ ให้มาขูดกันเอง
เวลามีไม่เยอะครับ เราจึงรีบซู้ดและกลับไปดูงานกันต่อ โดยตรงไปที่คลังสินค้าเลยครับ
เราได้กวาดสต็อกบางอย่างมาด้วยครั้งนี้เช่น พวกรองเท้าsneakersหนังที่คนถามหากันเยอะมาก แต่ทางแบรนด์ยังไม่มีโปรแกรมจะผลิตเพิ่ม Horsehide bootsตัวใหม่สีBrownที่สวยจับใจจริงๆ ได้พวกเสื้อยืด flannelเชิ๊ตที่เราลองเองแล้วขอเก็บเอาไว้ใส่เองด้วยเลย ทั้งผ้า สี ทรง สวยมากครับ เหมาะกับอากาศบ้านเรา ปล่อยไว่ไม่ได้ กางเกงยีนส์ขาม้า พอดีกับยีนส์รุ่นพิเศษของเราเพิ่งเข้ามาถึงคลังกำลังเตรียมแพ็กส่งมาเราจึงได้สำรวจเองก่อนเลยครับ ถูกใจมากและหวังว่าจะถูกใจหลายๆคนเช่นกัน
เสร็จจากงานเราก็เดินออกมาสูดอากาศกันหน่อย ช่วงนั้นนากาโนะอากาศดีมากๆครับ อุณหภูมิประมาณ 20องศา เย็นๆท้องฟ้าโปร่ง ก็เจอกับKawasakiคันนี้ เป็นของโฮริอุชิครับ เก็บรูปเจ้าของกับรถแสนรักของเขาไว้คู่กัน ส่วนอีกคันเป็นรถที่ทางแบรนด์มีไว้เวลาออกงานเล็กๆทำอาหารเสริฟครับ แต่งได้สวย ได้ความเป็นอเมริกันมากๆ
คันนี้จะเป็นงานใหญ่หน่อยครับ เช่นช่วงSuper weekendของทางแบรนด์ ถือเป็นของสะสมของทางแบรนด์ด้วยครับ และที่สำคัญรถทุกคันจะถูกดูแลอยู่อย่างถี่ถ้วนจึงแลดูสะอาดและพร้อมใช้งานได้จริงทุกเมื่อ
เสร็จจากออฟฟิสของทางแบรนด์เราก็ตรงมายังศูนย์เดิมของFlatHead ซึ่งใกล้เคียงกันก็จะเป็นบ้านของคุณโคบายาชิด้วย อย่างแรกที่เห็นคือมีอาคารจอดรถเพิ่มขึ้นอีกหลายหลังเลยครับ และนอกอาคารก็มีหลังคาเพราะรถล้นออกมาแล้ว
คันนี้เราเคยได้นั่งจากโตเกียวกลับมายังนากาโนะหลังงานInazumaที่Lightningจัดประมาณสัก5ปีที่แล้วครับ
RJBทีแรกเองก็อยู่ที่นี่ครับแต่เพราะเนื้อที่ไม่อำนวยกับการขยายตัวของทางแบรนด์เดิมจึงแยกไปอยู่ที่เมื่อสักครู่ที่เราไปกันมา
ถึงจะมีรถเจ๋งๆได้แต่พี่คนนี้เขาทำโรงจอดเขาได้มันส์มากๆด้วยครับ ไม่ใช่เพียงหาหลังคามุง ธรรมดาครับ
พวกป้ายอีนาเมล ป้ายนิออน พวกนาฬิกาไฟ เหล่านี้บางทีกว่าจะหาตัวที่เนื่อเรื่องมันเข้ากันกับจุดที่พยายามสื่อไม่ง่ายเลยครับ คนที่รักและตระเวนหาของพวกนี้จะรู้ดีครับ เอาที่คนหามาเองจริงๆนะครับไม่นับคนที่รับป้ายพ่อค้าฝากขายมาแต่งร้าน 555
ซึ่งป้ายทั้งหมดนี้คุณKobayashiก็ไปหามาตั้งแต่ช่วงบุกเบิกที่คนยังไม่ค่อยให้ความสำคัญ ยังไม่ค่อยเล่นกัน จึงมีอยู่เยอะและสภาพแทบจะ100%ก็ยังอยู่ที่เขา โดยช่วงก่อนๆเขาจะไปเดินตลาดนัดเช่นที่Rose Bowlปีนึงหลายๆครั้ง ใส่ของมาเต็มตู้แล้วก็มาจัดเป็นงานเล็กๆในศูนย์FlatHead ซึ่งคนที่รักของประเภทเดียวกันก็จะมาซื้อได้ในราคาที่ดีมากๆ เป็นงานคนรักของเก่า ปัจจุบันอย่างที่ทราบว่าราคาของขึ้นไปสูงมากแล้ว และของดีๆก็ไม่ค่อยหลุดออกมาให้เจอ งานนั้นจึงไม่ได้เกิดขึ้นอีก
รถหลายต่อหลายคันเพิ่งได้เจอกันครั้งแรก ยังไม่คุ้นหน้ากันเลยครับ ทั้งSkyline Fairlady และ Ferrari สังเกตุที่ทะเบียนรถนะครับ คุณโคบายาชิจะเลือกใช้3005เสมอ ซึ่งก็คือรุ่นของยีนส์FlatHeadนั่นเอง
สำหรับรถคันนี้ เป็นคันเดียวกับที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง American Graffiti ที่ออกฉายเมื่อปี 1973 เลยครับ
Beetleคันนี้รุ่นSplit window
จะเห็นปลั๊กไฟที่เสียบชาร์ตแบตเตอรี่และดูแลระบบรถทุกคันอยู่ตลอดครับ...
ถ่ายรูปกับเขาแล้วรู้สึกเขาจะดูหนุ่ม ฟิตกว่าเราอีก เจอกันกี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกว่ากาลเวลามีผลอะไรกับคุณโคบายาชิเลยจริงๆครับ
ศูนย์เดิมของFLATHEADปัจจุบันกลายเป็นศูนย์Stockburgครับ
Shinki Shell Cordovanรอประชันหน้าอยู่เลยครับ
Stud BeltของFlatHead! การตอกหมุดของเขาจะไม่ใช้เครื่องช่วยใดๆทั้งสิ้นครับ พนักงานต้องใช้มือวางจุดให้ตรงแล้วใช้ค้อนหัวยางตอกเอาเองทีละตัวครับ
กระเป๋าสตางค์ก็เช่นกันครับ แต่ละขั้นตอน ทั้งตัดหนัง เย็บ เก็บมุม ติดเหรียญเงิน ตัวห้อยเงิน ล้วนแล้วแต่ใช้มือล้วนๆ
เหมือนกับคำที่คุณโคบายาชิพูดเลยครับ ว่าถ้าคุณเห็นป้ายราคาสินค้าของแบรนด์เขาแล้วคุณจะคิดว่ามันแพง แต่ถ้าคุณดูขั้นตอนและวัสดุการผลิตคุณจะคิดว่ามันถูก
ซึ่งถ้าเรามาคิดดูจริงๆเช่นกับสินค้าประเภทกระเป๋าสตางค์หนังแบรนด์อื่นๆบางแบรนด์ในท้องตลาด ทำใบยาวออกมา ใช้จักรเย็บทั้งหมด เทียบคุณภาพหนังวัวเหมือนกัน ราคาก็เฉียดฉิวกับตัวของFlatHeadที่มีหนังบุรองภายใน เย็บมือและการใช้หนังสลับสี บวกกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์กับอะไหล่เงิน เข้าใจถึงความหมายเลยครับ
เราเลยถือโอกาสคัสตอมกระเป๋าสะพายคาดหน้าอกแบบใหม่ๆ สีใหม่ๆ ตัวอัพเดทพร้อมสินค้าน่าสนใจจากStockburgมาให้แฟนๆFlatHeadซึ่งจะเข้ามาอีกไม่นานนี้ครับ
บรรยากาศโดยรอบของออฟฟิสFlatHead สบายๆครับ ชอบการได้กลับมาที่นี่อีกและต้องยอมรับว่าตั้งแต่เราได้ไปมาหลายเมือง หลายแบรนด์ในนานาประเทศที่นี่เป็นศูนย์ใหญ่ของแบรนด์ที่สุดจริงๆ
ถึงเวลาอาหารอีกครั้งครับ มื้อนี้เรียกว่าเป็นมื้อที่ผมรอมานานมากกับการได้กลับไปร้านอาหารที่น่าจะเป็นที่รักที่สุดในญี่ปุ่น Googies ของคุณKobayashi
คนคนนี้ทำอะไรแล้วสุดจริงๆครับ เราเห็นร้านอาหารไสตล์American Dinerมามากต่อมากแต่ไม่เคยพบกับอะไรที่เรียกว่าเป็นตัวจริงได้เหมือนกับของคุณKobayashiครับ
ไม่เพียงแต่วัสดุ ดีไซน์ แสง สี เสียงเพลง หรือพร็อพต่างๆทีจะสมบูรณ์แบบแล้วแต่สิ่งสำคัญคือเมนูอาหารและวัตถุดิบที่คุณKobayashiใสใจ
ถือว่าเป็นบุคคลที่กว้างขวางมากและมักจะลงสื่อแทบจะทุกแนว ทั้งเกี่ยวกับ เสื้อผ้า กับของสะสม เครื่องดนตรี หนังสือการออกแบบ ไปจนถึงหนังสือรถยนต์และก็หนังสือเกี่ยวไลฟ์ไสตล์และอาหารก็ยังมาสัมภาษณ์คุณKobayashiครับ
Googiesเลือกที่จะใช้วัตถุดิบแทบจะทั้งหมดจากในเมืองNaganoหรือระแวกนั้น นอกจากเพราะเมืองNaganoมีดิน น้ำที่สะอาด บริสุทธิ์และอยู่ใกล้ตัวร้านอาหารจึงได้ของที่สดใหม่จริงๆ แต่ถือว่าได้สนับสนุนเกษตรกรพื้นเมืองด้วย แน่นอนครับทุกอย่างปลอดการใช้เคมีหรือสารพิษฆ่าแมลง
แค่เริ่มด้วยสลัดผมก็ตะลึงกับน้ำของเขาแล้วครับ เป็นน้ำครีมสลัดผสมกับถั่ว คิดไม่ถึงจริงๆครับ เราพยายามขอซื้อกลับไปด้วยแล้วแต่น้ำนี้ทำสดๆทุกวันเองในครัวโดยใช้นมสดและครีมสดไม่ใส่วัตถุกันเสียจึงอยู่ข้ามวันไม่ได้ครับ มีหลายคนขอซื้อเช่นกันแต่ไม่สามารถจำหน่ายได้
มันฝรั่งนี้ทีเด็ดจริงๆครับ ไม่ใช่การทอดแต่เป็นเมืองการผัดบนกระทะโดยไม่ใช้น้ำมัน ตัวนี้คุณโคบายาชิให้ทานโดยให้อาบลงไปในเมเปิ้ลไซรับครับ ย้ำนะครับ อาบ ไม่ใช้จิ้ม ถึงจะอร่อย
ตัวนี้เมนูโปรดของผมในร้านนี้ พิซซ่าหน้าแอปเปิ้ล ครั้งแรกที่ได้ยินก็แปลกครับ มันฟังดูคนละเรื่องเลย แต่เป็นความคิดที่อัจฉริยะจริงๆ
ลงหนังสือบ่อยมากครับ แถมแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของนากาโนะด้วยครับ
รังผึ้งครับ สดๆกับน้ำผึ้ง เพื่อสุขภาพหลังอาหาร
ไอศครีมโยเกิร์ตก็เป็นสูตรของทางร้านเองครับ ซึ่งก็ได้ขยายไปเป็นร้านโยเกิร์ตหลายๆจุดในเมืองครับ
เป็นมื้อที่ประทับใจสมกับการรอคอยครับ
แวะกลับมาอำลากันที่ศูนย์ใหญ่อีกครั้ง คุณโคบายาชิบอกโตเกียวน่าจะร้อน เอาเสื้อยืดไปใส่กันเป็นของฝาก ขอบคุณมากๆครับ
แนะนำครับใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมีเวลาน่าไปครับ เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ แวะไปเที่ยวศูนย์ FlatHead ที่น่าตื้นตันใจ ทานอาหารอร่อยๆที่ Googies ชมศูนย์หนัง Stockburg
หวังว่าทุกท่านจะสนุกกับการพาเที่ยวในวันนี้ ขอบคุณที่ติดตามชมครับ...